พระปรีชาสามารถด้านถ่ายภาพ
การถ่ายภาพเป็นศิลปะอีกสาขาหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัวสนพระราชหฤทัยอย่างจริงจังมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าในสมัยก่อนนั้น อุปกรณ์การถ่ายภาพต่างๆ
ยังไม่ทันสมัยอย่างในปัจจุบันนี้ แต่พระองค์ก็ทรงศึกษา และฝึกด้วยพระองค์เอง จนทรงเป็นนักถ่ายรูปผู้มีพระปรีชาสามารถยิ่ง
ไม่ว่าจะเป็น กล้องธรรมดาหรือกล้องถ่ายภาพยนตร์
ได้เริ่มทรงกล้องถ่ายภาพคู่พระหัตถ์ และ ทรงใช้ฟิล์มตั้งแต่ขนาด ๑๓๕ จนถึงขนาด ๑๒๐
และขนาดพิเศษ
กล้องถ่ายภาพที่ทรงใช้ในระยะเริ่มแรกเป็นกล้องที่ไม่มีเครื่องวัดแสงในตัว จึงต้องใช้พระราชวิจารณญาณอย่างรอบคอบละเอียดถี่ถ้วน
พร้อมทั้งพระปรีชาสามารถส่วนพระองค์
จึงทรงถ่ายภาพได้อย่างเชี่ยวชาญมั่นพระราชหฤทัย แม้ในปัจจุบันกล้องถ่ายภาพ
จะมีวิวัฒนาการขึ้นกว่าสมัยก่อน ก็มิทรงใช้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรง
ใช้แต่กล้องคู่พระหัตถ์แบบมาตราฐานอย่างที่นักเลงกล้องทั้งหลายใช้กัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเชี่ยวชาญแม้กระทั่งการล้างฟิล์ม การอัด
ขยายภาพ ทั้งภาพขาวดำและภาพสี โดยทรงจัดทำห้องมืด (Dark Room) ขึ้นในบริเวณชั้นล่างของตึกที่ทำการสถานีวิทยุ อ.ส.
ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรง “สร้างภาพ” ให้เป็นศิลปะถูกต้องและรวดเร็วด้วยพระองค์เอง
นอกจากนี้ทรงคิดค้นหาเทคนิคใหม่ๆ มาใช้ในการถ่ายภาพอยู่เสมอๆ
จนทำให้ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์เป็นผลงานศิลปะที่ล้ำยุค
ด้วยความที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดการถ่ายภาพ และทรงถ่ายภาพต่างๆ
อยู่เป็นประจำ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เคยไปปรากฏตามหน้านิตยสาร เมื่อราวปีพุทธศักราช
๒๔๘๓ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์ได้ปรากฏอยู่ในนิตยสารสแตนดาร์ดของพระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร
ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็นช่างภาพอาชีพของพระองค์ว่า
“ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง
แต่ฉันก็ยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์สแตนดาร์ด ได้เงินเดือนเดือนละ ๑๐๐
บาท ตั้งหลายปีมาแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักที
เขาก็คงถวายเดือนละ ๑๐๐ บาท อยู่เรื่อยมา”
เมื่อครั้งที่เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติใหม่ๆ
โปรดที่จะถ่ายภาพสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมพระราชโอรสและพระราชธิดา
โดยเฉพาะเมื่อได้เสด็จแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ซึ่งมีภูมิประเทศที่สวยงามเหมาะแก่การถ่ายภาพ
ในปัจจุบัน เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชหฤทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
และความเสียสละเพื่อพสกนิกร
จึงทำให้ทรงมีพระราชภารกิจอันมากมายมหาศาลเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ราษฎร
ไม่มีเวลาสำหรับคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ ในการถ่ายภาพได้อีก จะทรงถ่ายภาพได้ก็แต่เฉพาะในคราวที่เสด็จฯ
ไปราชการตามสถานที่ต่างๆ เท่านั้น
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เหล่านี้ทรงใช้เพื่อประกอบการทรงงานของพระองค์
จะสังเกตได้ว่าไม่ว่าพระองค์จะเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎร ณ จังหวัดใด
ก็จะทรงมีกล้องถ่ายรูปติดพระองค์ไปด้วยเสมอ
โปรดถ่ายภาพสถานที่ทุกแห่งเพื่อทรงเก็บไว้เป็นหลักฐานประกอบงานที่ได้ทรง ปฏิบัติ
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์เหล่านี้จึงมักเป็นภาพถ่ายแบบฉับพลันทันเหตุการณ์
ซึ่งถ่ายได้ครั้งเดียวด้วยไหวพริบ ไม่มีเวลาจ้องหาแง่มุม แต่ด้วยพระปรีชาสามารถ
เราจึงได้เห็นภาพฝีพระหัตถ์อันคมชัดและมีศิลปะในการจัดองค์ประกอบของภาพ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในระยะหลังๆ
นี้ ทรงใช้เป็นหลักฐานในการวางแผนปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวดเร็วทันใจและสามารถแก้ไขเหตุการณ์ของบ้านเมืองได้ทันท่วงที เช่น เมื่อคราวน้ำ
ท่วมกรุงเทพฯ หลายครั้ง ได้ทรงถ่ายภาพจุดสำคัญๆ
ไว้เป็นหลักฐานการวางแผนป้องกันน้ำท่วมทางเฮลิคอปเตอร์
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ทั้งหลายล้วนแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
มิได้ทรงถ่ายภาพเพื่อศิลปะแต่เพียงเดียว เพราะแต่ละภาพ
ทรงไว้ซึ่งคุณค่าทั้งทางศิลปะและวิชาการ
สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองและนำความผาสุกร่ม เย็นมาสู่ประชาชนชาวไทยได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น