พระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
ทรงพระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสใน สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชกรมหลวงสงขลานครินทร์
(ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม
พระบรมราชชนก) และ หม่อมสังวาล
(ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย เป็นสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี)
พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพ เมื่อ วันจันทร์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ ณ โรงพยาบาลเคมบริดจ์ เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาซูเซตส์ สหรัฐอเมริกา
ทรงเป็นพระราชโอรสองค์เล็กใน สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร
อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก (พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว)
กับ สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี
(เดิมทรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์)
ทรงมีพระเชษฐภคินี คือ
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์ และ พระบรมเชษฐาธิราช คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมราชชนก และสมเด็จพระบรมราชชนนี เสด็จจากสหรัฐอเมริกา นิวัตประเทศไทยเป็นครั้งแรก
ครั้้นเมื่อ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกก็เสด็จสวรรคต ณ
กรุงเทพมหานคร จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงได้โดยเสด็จพระบรมราชชนนี
พร้อมกับพระเชษฐภคินี และพระบรมเชษฐาธิราชไปประทับ ณ ตำหนักวิลล่าวัฒนา
เมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ในเดือนตุลาคม
พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้โดยเสด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล นิวัติประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง
ประทับณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานประมาณ ๓ เดือน
จึงโดยเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
ในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๘ ได้โดย
เสด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พร้อมกับ สมเด็จพระบรมราชชนนี
และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ นิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สาม ประทับณ
พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวังในระหว่างที่ประทับอยู่ในประเทศไทย ๒
ครั้งหลังนี้ได้โดยเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ
ตลอดมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดหลายครั้ง
ครั้นในวันที่ ๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตโดยกระทันหัน
รัฐสภามีมติเป็นเอกฉันท์กราบบังคมทูลเชิญขึ้นครองสิริราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์
เฉลิมพระปรมาภิไธย ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช”
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙
ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนีและสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ กลับไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง
เพื่อทรงศึกษาต่อ คราวนี้ ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายและการปกครอง แทนวิชาวิทยาศาสตร์ที่เคยทรงศึกษาแต่เดิม
เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชภาระที่ต้องทรงรับในฐานะพระมหากษัตริย์ของประเทศ
ทรงประสบอุบัติเหตุ ในวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ เมื่อรถยนต์พระที่นั่งที่ทรงขับชนกับรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่
บริเวณริมทะเลสาปเยนีวา ทรงได้รับบาดเจ็บที่พระเศียร พระพักตร์และพระเนตรด้านขวา
ต้องประทับรักษาพระอาการประชวรเป็นเวลา ๕ เดือน จึงมีพระพลานามัยดีเหมือนเดิม
ในเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สี่
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ในวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๙๓
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้จัด งานพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์
สิริกิติ์ กิติยากร ณ วังสระปทุม พร้อมกับทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราชประเพณีขึ้น
เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ
ในพระบรมมหาราชวัง เฉลิมพระปรมาภิไธยเป็น “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” ในโอกาสนั้นได้ทรงมีพระบรมราชโองการว่า “เราจักครองแผ่นดินโดยธรรม
เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” และ ทรงสถาปนาสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น